สุรินทร์ เมืองขอมโบราณ คนทั่วไปกล่าวว่า ชาวสุรินทร์มีความแตกต่างจากชาวอีสานทั่วไปคือ ชาวอีสานพูดลาว (ภาษาถิ่น) กินข้าวเหนียว แต่ชาวสุรินทร์พูดเขมรกินข้าวเจ้า
นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า พื้นที่ภาคอีสานเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้า และลาว มีแว่นแคว้นปกครองเรียกว่า อาณาจักรฟูนัน ต่อมาขอมได้เข้ามามีอำนาจแทน และตั้งอาณาจักรเจนละ หรืออิศานปุระ ภายหลังแตกแยกเป็นสองแคว้น ทางแผ่นดินสูงตอนเหนือ ได้แก่ ภาคอีสานและฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ลาว) เรียกว่า แคว้นพนม หรือเจนละบก แผ่นดินต่ำตอนใต้จดชายทะเล (เขมร) เรียกว่า เจนละน้ำ ชาวเจนละบกเป็นขอมและเผ่านิกริโต ส่วนชาวเจนละน้ำเป็นชนเผ่าใหม่ ที่เกิดจากการผสมระหว่างชาวพื้นเมืองเดิม กับเผ่านิกริโต และเผ่าเมลาเนเซียน
ชาวเจนละบก มีอิทธิพลในดินแดนที่ราบสูงอีสาน มีการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรือง และมีอำนาจในบริเวณนี้ แต่ภายหลังเจนละบก ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของเจนละน้ำ ถูกเกณฑ์ไปสร้างปราสาท ในแคว้นเจละน้ำนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นขอมปนเขมร ล่วงมาหลายชั่วอายุคนก็กลายเป็นเขมร ไปโดยสมบูรณ์ พวกขอมที่อยู่ในถิ่นเดิมก็ร่อยหรอหมดไป ทำให้บริเวณที่ราบสูงอีสานมีสภาพเป็นเมืองร้าง วัฒนธรรมขอมกับเขมรจึงปนอยู่ด้วยกัน
วิถีชีวิตของชาวสุรินทร์ถูกหล่อหลอมด้วยจารีตประเพณี ขนบธรรมเนียมที่มีความคล้ายคลึงกับชาวเขมรในกัมพูชา แต่ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น ชาวสุรินทร์เรียกตนเองว่า ขแมร์เลอ แปลว่า เขมรสูง เรียกชาวกัมพูชาว่า ขแมร์กรอม แปลว่า เขมรต่ำ
ภาษาเขมรที่คนสุรินทร์พูดไม่เหมือนกับภาษาเขมรในกัมพูชา ส่วนสาเหตุที่วัฒนธรรมของชาวสุรินทร์ โน้มเอียงไปทางเขมรนั้น เนื่องจากชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นชาวกูย เป็นพวกรักสงบ เมื่อมาอยู่ในถิ่นเขมร จึงพยายามสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับเขมร วัฒนธรมของชาวกูยจึงผันแปรไปทางเขมร วัฒนธรรมเขมรได้ขยายเข้าสู่ดินแดน ที่ตั้งเมืองสุรินทร์ ตั้งแต่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ชาวเขมรได้อพยพมาตั้งภูมิลำเนาในเมืองสุรินทร์ มีการแต่งงานระหว่างชาวเขมรกับชาวกูย ทำให้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม ส่วนวัฒนธรรมลาวได้ขยายเข้ามาสู่เมืองสุรินทร์ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๒ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างชาวกูย ชาวเขมรและชาวลาว โดยมีวัฒนธรรมเป็นแกนหลัก
ผ้าไหมสุรินทร์ สายใยแห่งอารยธรรมขอม ผ้าทอของสุรินทร์ มีประวัติความเป็นมายาวนาน และยังคงรักษารูปแบบลวดลายสีสันที่แปลกตา ความประณีต และกลวิธีการทอแบบโบราณไว้ได้จนถึงปัจจุบัน ชาวสุรินทร์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษาเขมร ยังคงผลิตผ้าไหมที่มีเทคนิคการผลิตเฉพาะตัว ซึ่งบรรพบุรุษได้สืบทอดหลักการและกรรมวิธีการผลิต เช่น การเลี้ยงไหม การมัดหมี่ การย้อมสี และการทอ เป็นต้น
กลุ่มชนแต่ละตระกูลภาษาในจังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะการทอผ้าแตกต่างกันทั้งในด้านกลวิธีการทอ ลวดลาย การให้สี การย้อมสี และวัถตุดิบที่ใช้ ลักษณะการผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมร มีเอกลักษณ์เด่นชัด แตกต่างจากผ้าทอของชาวอีสานทั่วไป ผ้ามัดหมี่ของคนไทยเชื้อสายเขมรคือ ผ้าปูม เป็นผ้าทอเส้นพุ่งแบบสานตะกอ มีลวดลายเด่นชัด เดิมใช้เป็นผ้าสำหรับชนชั้นสูงในราชสำนัก นิยมทอขนาดยาวประมาณ ๔ เมตร กว้าง ๑ เมตร มีลวดลายสามแถว ที่เชิงผ้าทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังมีผ้ายกดอกที่เรียกว่า ลายลูกแก้ว ทอแบบสามตะกอ หกตะกอ และแปดตะกอ นิยมนำมาทำเป็นผ้าสไบ ผ้าห่ม ผ้าคลุมไหล่ มีลวดลายเป็นรูปสัตว์และรูปนครวัด ต้นแบบของผ้าชนิดนี้มาจากแบบผ้าของเขมร ซึ่งทอเป็นภาพพระพุทธประวัติ และภาพฉากบนสวรรค์
กลุ่มชนชาวเขมร ในจังหวัดสุรินทร์ นิยมย้อมสีไหมด้วยสีธรรมชาติ โดยใช้กรรมวิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงมีลักษณะโดดเด่น สวยงามแปลกตา สีที่ใช้ย้อมไหม เป็นสีธรรมชาติได้จากพืชและสัตว์ เช่น สีแดงได้จากครั่ง หรือขี่ครั่ง สีเหลืองได้จากแก่น หรือแกแล สีครามได้จากราก และใบของต้นคราม สีดำได้จากผลมะเกลือ สีเขียวได้จากเปลือกประโหด หรือกระหูด
ลวดลายของผ้าไหมสุรินทร์ มีลักษณะแตกต่างจากผ้าของชาวอีสานทั่วไป กรรมวิธีในการจับลาย หรือมัดลายมีรสนิยมสูง นิยมใช้ไหมน้อย เพราะเป็นไหมเนื้อละเอียด และพิถีพิถันในการเก็บรายละเอียดของลวดลาย ตลอดจนการสร้างสีสัน ที่ประสานกลมกลืนกับลวดลายผ้า
ลวดลายผ้าพื้นเมืองของชาวอีสานทั่วไป มีสองลักษณะคือ ลวดลายภายนอกและลวดลายโครงสร้าง แต่ลวดลายผ้าพื้นเมืองของชาวสุรินทร์ เป็นลวดลายโครงสร้าง ซึ่งเกิดจากการมัดย้อม และการทอให้เป็นลวดลายต่าง ๆ หรือความแตกต่างของวัสดุที่ใช้ทอ หรือเกิดจากวิธีการทอ (การขัดเส้นไหม)
การจับลายหรือมัดหมี่เป็นลายนั้นได้รับอิทธิพลหรือความบันดาลใจ จากสิ่งแวดล้อมเช่น ลายพระตะบอง ลายพนมเปญ ลายปราสาท ลายกนก ลายเรือหงส์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังเป็นความบันดาลใจจากธรรมชาติ ได้แก่ ลวดลายจากพืช ลวดลายจากสัตว์ เช่น ดอกมะเขือ ดอกผักขะแยง ลายช้าง ลายม้า ลายไก่ ลายนกยูง เป็นต้น
กลวิธีการทอ จำแนกออกเป็นสามลักษณะคือ
ลายทางและลายตาราง เป็นลวดลายที่เกิดจากการย้อมสีไหมที่ทอ โดยย้อมไหมยืนและไหมพุ่ง ต่างสีกัน ลายที่นิยมกันมากได้แก่ ลายสระมอ มีลักษณะเป็นตารางเล็ก ๆ นิยมใช้สีดำเหลือบทอง และสีเขียวขี้ม้า ผ้าที่ย้อมจนได้สีทองแก่ ถือว่าเป็นผ้าลายสระมอที่สวยงามที่สุด มีความคงทนถาวรมาก ผ้าลายอันลูนญ์ซัม มีลักษณะเป็นลายทาง นิยมย้อมไหม เป็นเส้นพุ่ง และไหมเส้นยืนเป็นสีแดง - ขาว เหลืองทอง - เขียว ผ้าผืนหนึ่งจะใช้ไหมเพียงสี่สี ทอสลับกันไปจนจบผืน ผ้าลายสคู มีลักษณะเป็นตารางเหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละครึ่งนิ้ว ภายในกรอบสี่เหลี่ยมจตุรัสยังมีตารางเล็ก ๆ อีก ๖๔ ตาราง สีที่นิยมใช้เป็นกรอบคือ สีเขียว กับสีขาว หรือสีเหลืองทองกับสีขาว ส่วนตารางเล็ก ๆ ภายในกรอบนั้นนิยมใช้สีหลาย ๆ สี เช่น เขียว แดง น้ำเงิน และเหลืองทอง เป็นต้น ผ้าลายซโรง (โสร่ง) มีลักษณะเป็นตารางใหญ่ขนาดยาวห้านิ้วครึ่ง กว้างสี่นิ้วครึ่ง โดยประมาณนิยมใช้สีแดงสลับกับสีเขียว มีลายริ้วตรงกลางตลอดผืนผ้า มีความพิเศษทีผิวสัมผัสของผ้า มีความมันระยิบระยับ ซึ่งเกิดจากการปั่นไหมหางกระรอก ผ้ากระนิ่ว เป็นผ้าที่ใช้เส้นไหมต่างสีกัน ตั้งแต่สองเส้นขึ้นไปนำมาฟั่นให้เป็นเส้นเดียวกัน เมื่อทอเป็นผ้าแล้วจะได้ผ้าไหมเนื้อหนา สวยงามแปลกตา นิยมใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบน ผ้านุ่งหางกระรอก
นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า พื้นที่ภาคอีสานเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้า และลาว มีแว่นแคว้นปกครองเรียกว่า อาณาจักรฟูนัน ต่อมาขอมได้เข้ามามีอำนาจแทน และตั้งอาณาจักรเจนละ หรืออิศานปุระ ภายหลังแตกแยกเป็นสองแคว้น ทางแผ่นดินสูงตอนเหนือ ได้แก่ ภาคอีสานและฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ลาว) เรียกว่า แคว้นพนม หรือเจนละบก แผ่นดินต่ำตอนใต้จดชายทะเล (เขมร) เรียกว่า เจนละน้ำ ชาวเจนละบกเป็นขอมและเผ่านิกริโต ส่วนชาวเจนละน้ำเป็นชนเผ่าใหม่ ที่เกิดจากการผสมระหว่างชาวพื้นเมืองเดิม กับเผ่านิกริโต และเผ่าเมลาเนเซียน
ชาวเจนละบก มีอิทธิพลในดินแดนที่ราบสูงอีสาน มีการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรือง และมีอำนาจในบริเวณนี้ แต่ภายหลังเจนละบก ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของเจนละน้ำ ถูกเกณฑ์ไปสร้างปราสาท ในแคว้นเจละน้ำนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นขอมปนเขมร ล่วงมาหลายชั่วอายุคนก็กลายเป็นเขมร ไปโดยสมบูรณ์ พวกขอมที่อยู่ในถิ่นเดิมก็ร่อยหรอหมดไป ทำให้บริเวณที่ราบสูงอีสานมีสภาพเป็นเมืองร้าง วัฒนธรรมขอมกับเขมรจึงปนอยู่ด้วยกัน
วิถีชีวิตของชาวสุรินทร์ถูกหล่อหลอมด้วยจารีตประเพณี ขนบธรรมเนียมที่มีความคล้ายคลึงกับชาวเขมรในกัมพูชา แต่ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น ชาวสุรินทร์เรียกตนเองว่า ขแมร์เลอ แปลว่า เขมรสูง เรียกชาวกัมพูชาว่า ขแมร์กรอม แปลว่า เขมรต่ำ
ภาษาเขมรที่คนสุรินทร์พูดไม่เหมือนกับภาษาเขมรในกัมพูชา ส่วนสาเหตุที่วัฒนธรรมของชาวสุรินทร์ โน้มเอียงไปทางเขมรนั้น เนื่องจากชาวพื้นเมือง ซึ่งเป็นชาวกูย เป็นพวกรักสงบ เมื่อมาอยู่ในถิ่นเขมร จึงพยายามสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับเขมร วัฒนธรมของชาวกูยจึงผันแปรไปทางเขมร วัฒนธรรมเขมรได้ขยายเข้าสู่ดินแดน ที่ตั้งเมืองสุรินทร์ ตั้งแต่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ชาวเขมรได้อพยพมาตั้งภูมิลำเนาในเมืองสุรินทร์ มีการแต่งงานระหว่างชาวเขมรกับชาวกูย ทำให้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม ส่วนวัฒนธรรมลาวได้ขยายเข้ามาสู่เมืองสุรินทร์ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๒ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างชาวกูย ชาวเขมรและชาวลาว โดยมีวัฒนธรรมเป็นแกนหลัก
ผ้าไหมสุรินทร์ สายใยแห่งอารยธรรมขอม ผ้าทอของสุรินทร์ มีประวัติความเป็นมายาวนาน และยังคงรักษารูปแบบลวดลายสีสันที่แปลกตา ความประณีต และกลวิธีการทอแบบโบราณไว้ได้จนถึงปัจจุบัน ชาวสุรินทร์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษาเขมร ยังคงผลิตผ้าไหมที่มีเทคนิคการผลิตเฉพาะตัว ซึ่งบรรพบุรุษได้สืบทอดหลักการและกรรมวิธีการผลิต เช่น การเลี้ยงไหม การมัดหมี่ การย้อมสี และการทอ เป็นต้น
กลุ่มชนแต่ละตระกูลภาษาในจังหวัดสุรินทร์ มีลักษณะการทอผ้าแตกต่างกันทั้งในด้านกลวิธีการทอ ลวดลาย การให้สี การย้อมสี และวัถตุดิบที่ใช้ ลักษณะการผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมร มีเอกลักษณ์เด่นชัด แตกต่างจากผ้าทอของชาวอีสานทั่วไป ผ้ามัดหมี่ของคนไทยเชื้อสายเขมรคือ ผ้าปูม เป็นผ้าทอเส้นพุ่งแบบสานตะกอ มีลวดลายเด่นชัด เดิมใช้เป็นผ้าสำหรับชนชั้นสูงในราชสำนัก นิยมทอขนาดยาวประมาณ ๔ เมตร กว้าง ๑ เมตร มีลวดลายสามแถว ที่เชิงผ้าทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังมีผ้ายกดอกที่เรียกว่า ลายลูกแก้ว ทอแบบสามตะกอ หกตะกอ และแปดตะกอ นิยมนำมาทำเป็นผ้าสไบ ผ้าห่ม ผ้าคลุมไหล่ มีลวดลายเป็นรูปสัตว์และรูปนครวัด ต้นแบบของผ้าชนิดนี้มาจากแบบผ้าของเขมร ซึ่งทอเป็นภาพพระพุทธประวัติ และภาพฉากบนสวรรค์
กลุ่มชนชาวเขมร ในจังหวัดสุรินทร์ นิยมย้อมสีไหมด้วยสีธรรมชาติ โดยใช้กรรมวิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงมีลักษณะโดดเด่น สวยงามแปลกตา สีที่ใช้ย้อมไหม เป็นสีธรรมชาติได้จากพืชและสัตว์ เช่น สีแดงได้จากครั่ง หรือขี่ครั่ง สีเหลืองได้จากแก่น หรือแกแล สีครามได้จากราก และใบของต้นคราม สีดำได้จากผลมะเกลือ สีเขียวได้จากเปลือกประโหด หรือกระหูด
ลวดลายของผ้าไหมสุรินทร์ มีลักษณะแตกต่างจากผ้าของชาวอีสานทั่วไป กรรมวิธีในการจับลาย หรือมัดลายมีรสนิยมสูง นิยมใช้ไหมน้อย เพราะเป็นไหมเนื้อละเอียด และพิถีพิถันในการเก็บรายละเอียดของลวดลาย ตลอดจนการสร้างสีสัน ที่ประสานกลมกลืนกับลวดลายผ้า
ลวดลายผ้าพื้นเมืองของชาวอีสานทั่วไป มีสองลักษณะคือ ลวดลายภายนอกและลวดลายโครงสร้าง แต่ลวดลายผ้าพื้นเมืองของชาวสุรินทร์ เป็นลวดลายโครงสร้าง ซึ่งเกิดจากการมัดย้อม และการทอให้เป็นลวดลายต่าง ๆ หรือความแตกต่างของวัสดุที่ใช้ทอ หรือเกิดจากวิธีการทอ (การขัดเส้นไหม)
การจับลายหรือมัดหมี่เป็นลายนั้นได้รับอิทธิพลหรือความบันดาลใจ จากสิ่งแวดล้อมเช่น ลายพระตะบอง ลายพนมเปญ ลายปราสาท ลายกนก ลายเรือหงส์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังเป็นความบันดาลใจจากธรรมชาติ ได้แก่ ลวดลายจากพืช ลวดลายจากสัตว์ เช่น ดอกมะเขือ ดอกผักขะแยง ลายช้าง ลายม้า ลายไก่ ลายนกยูง เป็นต้น
กลวิธีการทอ จำแนกออกเป็นสามลักษณะคือ
ลายทางและลายตาราง เป็นลวดลายที่เกิดจากการย้อมสีไหมที่ทอ โดยย้อมไหมยืนและไหมพุ่ง ต่างสีกัน ลายที่นิยมกันมากได้แก่ ลายสระมอ มีลักษณะเป็นตารางเล็ก ๆ นิยมใช้สีดำเหลือบทอง และสีเขียวขี้ม้า ผ้าที่ย้อมจนได้สีทองแก่ ถือว่าเป็นผ้าลายสระมอที่สวยงามที่สุด มีความคงทนถาวรมาก ผ้าลายอันลูนญ์ซัม มีลักษณะเป็นลายทาง นิยมย้อมไหม เป็นเส้นพุ่ง และไหมเส้นยืนเป็นสีแดง - ขาว เหลืองทอง - เขียว ผ้าผืนหนึ่งจะใช้ไหมเพียงสี่สี ทอสลับกันไปจนจบผืน ผ้าลายสคู มีลักษณะเป็นตารางเหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละครึ่งนิ้ว ภายในกรอบสี่เหลี่ยมจตุรัสยังมีตารางเล็ก ๆ อีก ๖๔ ตาราง สีที่นิยมใช้เป็นกรอบคือ สีเขียว กับสีขาว หรือสีเหลืองทองกับสีขาว ส่วนตารางเล็ก ๆ ภายในกรอบนั้นนิยมใช้สีหลาย ๆ สี เช่น เขียว แดง น้ำเงิน และเหลืองทอง เป็นต้น ผ้าลายซโรง (โสร่ง) มีลักษณะเป็นตารางใหญ่ขนาดยาวห้านิ้วครึ่ง กว้างสี่นิ้วครึ่ง โดยประมาณนิยมใช้สีแดงสลับกับสีเขียว มีลายริ้วตรงกลางตลอดผืนผ้า มีความพิเศษทีผิวสัมผัสของผ้า มีความมันระยิบระยับ ซึ่งเกิดจากการปั่นไหมหางกระรอก ผ้ากระนิ่ว เป็นผ้าที่ใช้เส้นไหมต่างสีกัน ตั้งแต่สองเส้นขึ้นไปนำมาฟั่นให้เป็นเส้นเดียวกัน เมื่อทอเป็นผ้าแล้วจะได้ผ้าไหมเนื้อหนา สวยงามแปลกตา นิยมใช้เป็นผ้านุ่งโจงกระเบน ผ้านุ่งหางกระรอก
ลายมัดหมี่ เป็นลวดลายที่เกิดจากการมัดย้อมเส้นพุ่งแล้วนำไปทอเป็นผืนผ้า ชาวสุรินทร์เชื้อสายเขมรเรียกผ้าชนิดนี้ว่า ผ้าปูม มักจะทำลวดลายเป็นรูปคน สัตว์ และรูปสถาปัตยกรรมเขมรเมืองพนมเปญ และพระตะบอง ผ้าปูมชนิดที่ดีที่สุดได้แก่ ผ้าลายก้ามแย่งประจำยาม ผ้าลายนาคเกี้ยวสีแดง ผ้าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ก้ามแย่งเป็นรูปนาคเกี้ยวและลายบุษบก สีและลวดลายของผ้าปูมนิยมใช้สีม่วงเปลือกมังคุด สีแดง สีเขียว สีคราม และสีเหลือง ซึ่งมีความกลมกลืนกัน เนื่องจากการย้อมทับ เพื่อผสมสีให้ได้สีใหม่ขึ้น ผ้าปูมที่มีสีและลวดลายเด่น ๆ ได้แก่
ผ้าลายพระตะบอง เป็นลายกรอบรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีลายดอกสีด้านอยู่ตรงกลาง นอกกรอบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปุร ล้อมรอบด้วยขอเครือ
ผ้าลายช้าง มีลักษณะเป็นรูปช้างยืน หรือหมอบ หันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ ๆ ทั้งนี้เกิดจากการคั่นไหมเพื่อมัดลาย
ผ้าลายม้า มีลักษณะเป็นรูปม้ายืนคล้ายช้าง
ผ้าลายนกยูง มีลักษณะเป็นรูปนกยุงรำแพน ยืนหันหน้าเข้าหากันคล้ายลายช้าง
ผ้าลายไก่ มีลักษณะเป็นรูปไก่ ยืนหันหน้าออกจากกัน
นอกจากนี้ยังมีลายผ้าที่นิยมทอใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ ลายนก ลายพญานาค ลายพนมเปญ ฯลฯ
ลายผสม เป็นลายที่เกิดจากการทอเส้นพุ่ง ย้อมสีและมัดย้อม สลับกันจนเต็มผืนเรียกว่า หมี่คั่น เช่น
ลายหมี่โฮล เป็นผ้าที่เน้นสีสันและลวดลายให้ดูเด่นสะดุดตา มีลักษณะคล้ายคล้ายใบไผ่ เป็นลายริ้ว ขนาดกว้างประมาณครึ่งนิ้ว คล้ายก้านใบไผ่ สลับกับลายมัดหมี่ที่คล้ายใบไผ่
ลายอัมปรม มีลักษณะเป็นลายตารางเล็ก ๆ ตรงกลางมีจุดประสีขาวลอยเด่น บนพื้นสีน้ำตาลแดง ซึ่งเกิดจากการมัดเส้นยืนและเส้นพุ้งเป็นกำ (มัดสองทาง) เว้นระยะห่างกันประมาณครึ่งเซนติเมตร แล้วย้อมด้วยสีน้ำตาลอมแดง ชาวสุรินทร์เรียกไหมที่ย้อมนี้ว่า สีกราก หรือสักรา การผลิตผ้าลายอัมปรมนี้เป็นกรรมวิธียุ่งยากที่สุด เนื่องจากต้องมัดหมี่เส้นยืนซึ่งยุ่งยากมาก แล้วยังต้องใช้ทักษะความชำนาญในการดึงเส้นพุ่ง และส้นยืนให้สัมผัสกันตรงระยะ และช่องไฟอีกด้วย เพื่อให้เส้นไหมตัดกันเป็นรูปเครื่องหมายกากบาท ได้สัดส่วนสวยงาม
ลายโคม มีลักษณะคล้ายเปลวเทียน ที่เป็นเปลวรอบนอกรอบใน มีจำนวนเลขเพื่อบอกจำนวนที่คั่นลายมัดย้อม ลายโคมนี้จัดเป็นลายพื้นฐานที่สามารถนำไปดัดแปลงให้มีขนาดเล็กลง หรือใหญ่ขึ้นได้มีชื่อเรียกตามขนาด เช่น โคมห้า โคมเจ็ด โคมเก้า เป็นต้น
ลายขอ มีลักษณะคล้ายตะขอ ออกแบบลายตามอย่างตะขอที่ใช้ยึดเกาะสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน มีการออกแบบเป็นลายขอเดี่ยว ๆ เรียงกันไปเต็มผืนผ้า หรือเรียงต่อ ๆ กันเรียกว่า ขอเครือ
ลายลูกแก้ว มีลักษณะคล้ายลูกแก้วอยู่กลางลายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขนาดเล็ก เป็นผ้าไหมที่ทอ ยกดอกในตัว แต่เดิมนิยมใช้สีขาวและสีดำ โดยทอเสร็จแล้วจึงนำไปย้อม ต่อมามีการมัดย้อมแล้วนำไปทอ การยกดอกนี้มีหลายลายด้วยกัน เช่น ลายดอกแก้ว หรือลูกแก้ว ลายดอกจันทน์ ลายดอกพิกุล เป็นต้น
แหล่งผลิตผ้าไหมที่สำคัญของจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ หมู่บ้านจันรม ตำบลตาอ๊อง อำเภอเมือง ฯ บ้านสวาย ตำบลสวาย อำเภอเมือง ฯ บ้านแกใหญ่ ตำบลแสลงพันธ์ อำเภอเมือง ฯ บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ กิ่งอำเภอธารพัด อำเภอศีขรภูมิ
ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ ไปทางทิศเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร ตามถนนสาย สุรินทร์ เมืองลีง มีการ ทอผ้ายกทองโบราณ สร้างความมหัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผ้าที่ทอจากฝึมือมนุษย์ เดินดินธรรมดาอย่างเรา ๆ ความสวยงามของผ้ายกทองโบราณ เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ลูกหลานชาวบ้านท่าสว่างนั่นเอง ซึ่งได้แนวความคิดจากการใช้ลายผ้าโบราณ มาผสมผสานกับลานจำหลักที่ปรากฏอยู่ตามปราสาทขอมในท้องถิ่นอีสาน ผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมของคนสุรินทร์ ออกแบบเป็นลาย ผ้าไหมใหม่ เรียกว่าผ้ายกทองโบราณ สวยงามประหนึ่งว่าเกิดจากการเนรมิตของเทพเจ้าการออกแบบลายแต่ละลาย ใช้เวลาออกแบบ เขียนแบบ แบะ เก็บตะกอนาน 2 - 3 เดือน ในด้านการทอผ้าแต่ละผืนก็ต้องใช้เวลาทอนาน 1-3 เดือน จึงจะเสร็จต้องใช้ช่างทอประจำที่แต่ละที่ 4 คนขึ้นไป ค่อย ๆ ทอได้ 5-7 เซนติเมตรต่อวัน ผ้าแต่ละผืนทอจากเส้นไหมที่ย้อมจากสีธรรมชาติยกเป็นลวดลายต่าง ๆ ตามจินตนาการด้วยดิ้นทองของอินเดีย ไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด
อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้คิดค้นลายผ้ายกทองโบราณ เป็นลูกหลานชาวบ้านท่าสว่าง สำเร็จการศึกษาด้านศิลปะประจำชาติจากสถาบัน เทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะช่างกรุงเทพ ปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่ศูนย์ศิลปาชีพสวนจิตลดา ได้มีโอกาสรับสนองใต้เบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทอผ้าฉลองพระองค์ มีตะกอลายถึง 1,418 ตะกอ ทอผ้าลายหิ่งห้อยชมสวนให้ภริยาเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มีตะกอลาย 360 ตะกอ
ในโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC ในเดือน ตุลาคม 2546 อาจารย์วีรธรรม ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ออกแบบ และทอผ้าลายไทย สำหรับตัดเย็บเป็นชุดให้ผู้นำประเทศต่าง ๆ สวมใส่เบ้าร่วมประชุมครั้งนี้
ผู้สนใจจะเดินทางไปเยี่ยมชมการทอผ้าไหมมหัศจรรย์ของอาจารย์ วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ติดต่อได้ที่คุณ สุมาลี ติดใจดี โทรศัพท์ 09-2027009 หากจะเดินทางไปด้วยตนเอง ให้ใช้เส้นทางสาย สุรินทร์-จอมพระ เมื่อออกจากตัวเมืองได้ประมาณ 2 กิโลเมตร จะเห็นสถานีทดลองข้าวสุรินทร์ อยู่ด้านซ้ายมือ เมื่อสุดรั้วสถานีทดลองข้าวจะมีทางแยกซ้ายมือไปตามริมคลองชลประทาน ให้ไปตามถนนริมคลองชลประทานจนถึงถนนสายสุรินทร์เมืองลีงให้เลี้ยวซ้าย จะพบหมู่บ้านท่าสว่างเป็นหมู่บ้านแรก เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านจะมีปั้ม น้ำมันอยู่ด้านขวามือ เลยปั้มน้ำมันก็จะเป็นทางเข้าไปยังบ้านของอาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ท่านจะได้รับการต้อนรับจากอาจารย์วีรธรรมฯ และช่างทอด้วยอัธยาศัยไมตรีที่ดียิ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น